โรคไมเกรน ( Migraine )
อาการปวดหัว ปวดตาข้างเดียว
มีสาเหตุจากเส้นเลือดในสมองจริงหรือ?
"การนวดตารักษาโรคไมเกรนให้หายขาดได้แล้ว"
*** โรคใหม่ที่วงการแพทย์ยังไม่รู้จัก และจักษุแพทย์ยังไม่ทราบ ***
ปวดหัว ปวดตา ตาพร่ามัว เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน โดยไม่ทราบสาเหตุ
*** คลิ๊กเพื่อดูรายละเอียด ***
ตัวอย่างผู้ป่วยโรคไมเกรนรายที่ 1
โรคปวดศีรษะไมเกรน จัดอยู่ในกลุ่มของโรคระบบประสาทที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงยังไม่มีการรักษาที่ได้ผลอย่างชัดเจนในปัจจุบัน
ลักษณะจำเพาะของโรคนี้ คือ ปวดศีรษะซีกใดซีกหนึ่ง มีระดับความรุนแรงตั้งแต่ปวดรำคาญ ทำให้หงุดหงิด จนกระทั่งรุนแรงมาก ขนาดคลื่นไส้ อาเจียน นอนซม ทนแสงทนเสียงต่างๆไม่ได้ บางรายอาจมีอาการมองเห็นผิดปกติ ( Aura )เตือนก่อนจะมีอาการปวดศีรษะ มักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย สัมพันธ์กับการใช้สายตา ( คอมพิวเตอร์ ) ความเครียด และฮอร์โมน ( บางรายจะปวดทุกเดือน ก่อนจะมีประจำเดือน )
การรักษา ให้ยาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด ยาคลายเครียด ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น ในกลุ่มที่เชื่อว่า อาการปวดศีรษะเกิดจากเส้นเลือดในสมองซีกนั้นมีการขยายตัวโป่งพองและเป็นต้นตอของอาการปวด ก็อาจจะใช้ยาหดเส้นเลือดเพื่อไปต้านการขยายของเส้นเลือดดังกล่าว ยาที่นิยมใช้กันมานานแล้วก็คือ ยา Cafergot นั่นเอง
จากการคิดค้นเรื่องการนวดตารักษาต้อหินเรื้อรังมานานกว่า 5 ปี ทำให้พบข้อมูลที่สำคัญประเด็นหนึ่งคือ มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย ที่มีอาการปวดศีรษะและปวดในเบ้าตาซีกใดซีกหนึ่ง เป็นๆหายๆ ได้รับการวินิจฉัยและรักษาแบบไมเกรนจนกระทั่ง ในที่สุดพบว่าตาบอดโดยไม่รู้ตัว และเมื่อรับการตรวจตาอย่างละเอียด จึงพบว่า สาเหตุที่ทำให้ตาบอด เกิดจากโรคต้อหินเรื้อรัง และการค้นพบที่สำคัญตามมาก็คือ การนวดตานอกจากจะหยุดการดำเนินโรคของโรคต้อหินเรื้อรังไม่ให้ตาบอดได้แล้ว ยังช่วยให้อาการปวดหัวและปวดในเบ้าตาหายไปด้วย จากข้อมูลดังกล่าว จึงได้ย้อนกลับขึ้นไปดูโครงสร้างของลูกตา จึงได้ข้อสรุปว่า อาการปวดหัวปวดตาคล้ายไมเกรน เกิดจากเซลล์ประสาทในลูกตา ได้รับเลือดไม่พอเพียงต่อการทำงานในขณะนั้น ทำให้เซลล์ปล่อยสารเคมีไปสู่เส้นเลือดต้นทางที่โคนเบ้าตา ให้พยายามเร่งบีบตัวส่งเลือดเข้าไปในลูกตาให้พอเพียงต่อการทำงานของเซลล์ประสาทตา ยิ่งมีการใช้สายตาหนัก ( เซลล์ประสาทในลูกตาทำงานหนัก ) ก็ยิ่งต้องการเลือดมากยิ่งขึ้น แต่การบีบตัวของเส้นเลือดแดงดังกล่าว ก็ไม่อาจจะประสบความสำเร็จได้โดยง่าย เนื่องจาก เส้นเลือดแดงในเบ้าตาก่อนที่จะผ่านทะลุเข้าไปในลูกตา จะถูกแผ่น Lamina cribrosa รัดอยู่ มวลเลือดแดงที่ถูกบีบส่งอย่างแรงให้เข้าไปในลูกตา จึงปะทะเข้ากับจุดคอดดังกล่าว เกิดแรงย้อนกลับทำให้เส้นเลือดแดงโป่งพอง เกิดการเจ็บ ปวด และกล้ามเนื้อของผนังเส้นเลือดระบม อันเป็นต้นเหตุของอาการปวดศีรษะและปวดในเบ้าตานั่นเอง เนื่องจาก วิธีนวดตาที่ใช้รักษาโรคต้อหิน มีกลไกไปยืดและคลายการรัดตัวของแผ่น Lamina cribrosa จึงทำให้มวลเลือดแดงสามารถถูกบีบผ่านคอคอดดังกล่าวได้สะดวกขึ้น ทำให้เส้นเลือดแดงไม่โป่งพอง ค่อยๆคลายความระบม และหายปวดในที่สุด ซึ่งผลของการนวดตา จึงช่วยแก้ปัญหาอาการปวดคล้ายไมเกรนดังกล่าวอย่างชะงัด เห็นผลเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วัน และหายขาดอย่างถาวร ดังตัวอย่างผู้ป่วยดังต่อไปนี้
1. คุณ ภัทรา แก้วเพชร โทร. 081-3618712
2. นาวาโท บุญสิทธิ์ สุทธาชีวะ รน. โทร. 081-3365754
3. นางวิภา โอภาสเมธีกุล โทร. 02-4654358
4. นส.อนงค์วรรณ โอภาสเมธีกุล โทร.081-3104747
5. นางจินตนา พูลชนะ โทร. 032-314334, 087-1701775
6. นส.เบญจมาศ เกิดน้อย โทร.089-6902773
7. นายพงศ์รบ สายสุวรรณ โทร. 087-9108889
8. นส.จิราพัชร์ พลชัย โทร. 081-2854732
9. นางจงกล ก้านจักร โทร. 081-3618960
10. นส.ชมภัสร์ ช่วยบำรุง โทร.089-7655226
11. นายอานันท์ เมธาวี โทร. 081-7636868
12. นายเอกลักษณ์ วิลัยหงษ์ โทร.087-0925316
13. นส.กฤติยา รัศมี โทร.082-3553025
14. นส.รินรติ เขมพงษ์ โทร.089-1444868
15. นส.เบญจมาศ เกิดน้อย โทร.089-6902773
16. นส.ดารุณี เอี่ยมพิชัยฤทธิ์ โทร.081-4236754
17. นส.ณัชชา เม้ามูล โทร.086-8903754
18. นาย โกศล เกิดน้อย โทร.089-1063308
19. นางสาว ภชิสา จิตติชนะชัย อายุ 38 ปี กรุงเทพฯ โทร. 087-6107070
20. นางสาว ฐาปนี หวังสะดวก อายุ 54 ปี จตุจักร กรุงเทพฯ โทร. 089-7644413
21. นาย ธนากร ปราชญ์ธนานพ อายุ 47 ปี บางเขน กรุงเทพฯ โทร. 081-5849951
22. นาง เรืองไร หุ่นเจริญ อายุ 53 ปี อ. เมือง สมุทรสาคร โทร. 086-8927762
23. ดญ. ปรกฉัตร จันทิพย์วงษ์ โทร.084-3884613
อายุ 14 ปี อาชีพ นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนสมุทรสาครบูรณะ
ปัญหา ป่วยเป็นโรคไมเกรนมา 3 ปี มีอาการปวดศีรษะ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ บางครั้งปวดตามากจนนอนไม่หลับ
ช่วงหลังอาการหนักมากขึ้นมีอาการปวดศีรษะรุนแรงจนคลื่นไส้อาเจียนทานอาหารไม่ได้ จนต้องเข้านอนโรงพยาบาล
จากการตรวจจอประสาทตาพบขั้วประสาทตาฝ่อ ข้างขวา 40% ข้างซ้าย 60% เข้าได้กับโรคต้อหินชนิดความดันลูกตาปกติ
หลังจากรักษาด้วยการนวดตา อาการปวดหัวไมเกรนหายขาดแล้ว และไม่ต้องทานยาไมเกรนอีกต่อไป
24. นาย นภศูล ฟงประดิษฐ อายุ 25 ปี
โทร 085-0413175, 088-5396317, 054-731451
อีเมล์ [email protected]
อาชีพ โปรแกรมเมอร์
.............ปวดตาปวดหัวเรื้อรังเป็นปี ปวดหนักจนอาเจียน ไปตรวจรักษาหมอตาหลายแห่ง ก็ไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคอะไรกันแน่?
จนต้องลาออกจากงานที่ร่ำเรียนมา กลับภูมิลำเนาไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ข้าวโพดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค้นพบข้อเท็จจริงของโรคที่ตัวเองเป็นอยู่
และได้รับการรักษาจนดีวันดีคืนในขณะนี้ ...........
.............. ( คลิกดูรายละเอียด ประวัติการเจ็บป่วยของผู้ป่วยรายนี้ ที่เขาเรียบเรียงปัญหาที่เขาประสบตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้แก่สาธารณชนและจักษุแพทย์ที่ใฝ่รู้ ว่ามีโรคใหม่เกิดขึ้นแล้วในวงการแพทย์ )
25. นาย ชนภัทร เสวิคาร อายุ 35 ปี โทร.086-7363899
อาชีพ เชฟอาหารไทยในโรงแรมระดับ 5 ดาว
ประวัติ ปวดหัวและปวดเบ้าตาข้างขวา เป็นเป็นหายหายมา 18 ปี ปวดรุนแรงจนทำงานไม่ได้ หนังตาปิดและลืมตาไม่ขึ้น
เคยตระเวณตรวจรักษามาหลายแห่ง เช่น รพ.พญาไท1 , รพ.เซนต์หลุยส์ , รพ.กรุงเทพฯ , รพ.กรุงธนฯ , รพ.เลิศสิน รพ.กรุงเทพพัทยา ฯลฯ ได้รับการวินิจฉัย
เป็นโรคไมเกรน/โรคปวดหัว cluster ทานยาไม่หาย ระยะหลังดื้อยาขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ได้ผล
หลังจากเข้ารับการรักษาด้วยการนวดตา วันที่ 6 มิย. 2555 อาการปวดตา/ปวดหัวก็ทุเลาลง จนหายขาดไปเลยโดยไม่ต้องใช้ยาอีกต่อไป
ข้อสรุปในท้ายที่สุด
1. เป็นไปได้ไหม ที่ต้นตอของโรคไมเกรนทั้งหมด เกิดจากเส้นเลือดแดงในเบ้าตาโป่งพอง?
ถ้าสาเหตุของโรคไมเกรนเกิดจากเส้นเลือดในสมอง อาการปวดน่าจะร้าวไปทั้งศีรษะเนื่องจากเส้นเลือดที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองทั้งสองฝั่งมีการเชื่อมต่อและประสานกัน แต่เส้นเลือดในเบ้าตาแต่ละข้าง แยกเป็นอิสระต่อกัน และนี่คือเหตุที่ทำให้อาการปวดจำกัดอยู่ที่บริเวณศีรษะข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น
2. การนวดตา เป็นวิธีเดียวในปัจจุบัน ที่จะทำให้โรคไมเกรนหายขาดได้
3. ผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะแบบไมเกรนทุกราย ควรรับการตรวจคัดกรองจอปราสาทตาว่ามีขั้วปราสาทตาถูกทำลายในลักษณะของโรคต้อหินเรื้อรังแอบแฝงอยู่หรือไม่?
4. หากมองในแง่ดี อาการปวดศีรษะไมเกรนเป็นกลไกปกป้องประสาทตาไม่ให้ถูกทำลาย เพราะถ้าไม่มีกลไกนี้ก็จะมีการใช้สายตาอย่าง
หนักและต่อเนื่องจนอาจทำให้ประสาทตาช๊อคและตายได้ แต่อาการไมเกรนที่รุนแรงจะทำให้ผู้ป่วยต้องผละจากงานที่ทำและพักสายตาโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้อยู่ในที่มืดปราศจากแสงที่จะกระตุ้นการทำงานของประสาทตา ซึ่งจะช่วยให้อาการไมเกรนทุเลาอย่างเห็นได้ชัด
นพ.สมเกียรติ อธิคมกุลชัย
10 พฤษภาคม 2553
ติดต่อ
นพ. สมเกียรติ อธิคมกุลชัย
e-mail
[email protected] or [email protected]
ติดต่อเข้ารับการรักษา ศูนย์ฟื้นฟูประสาทตาและการมองเห็น โรงพยาบาลเอกชัย.
วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น. - 17.00 น.
โทร. 03-441-7999 หรือสายด่วน โทร. 1715
กลับสู่หน้าหลักงานวิจัยของน.พ.
สมเกียรติ